madeinthailand
Forum Admin
 Thailand
203 Posts |
Posted - Jun 01 2008 : 03:59:24
|
เรื่องจริงถูกเขียนโดย นบณัฐพงศ์ (ธีรวุฒ คือชื่อเดิม)
30 เมษายน 2550
ตอนแรกผู้เขียนไม่แน่ใจว่าจะเขียนบทความนี้ดีไหม เพราะพิจารณาว่าบทความนี้ผู้เขียนอาจหมิ่นเหม่ต่อบุคคลอื่น และอาจทำให้ความน่าเชื่อถือของผู้เขียนน้อยลงหรือไม่น่าเชื่อถือเลย เรื่องราวของผู้เขียนในบทความนี้เคยบอกเล่าแก่บุคคลที่อยู่ในธนาคารไทยพาณิชย์ SCB หมดแล้ว แต่บุคคลเหล่านั้นยังไม่รับผิดชอบผู้เขียน ทำให้ผู้เขียนรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ประเทศไทยมาก ถึงอย่างไรผู้เขียนยังไม่หนีไปไหน ผมจึงขอเขียนเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้อื่นได้รับทราบและผู้เขียนไม่มีวันให้อภัยบุคคลเหล่านั้นได้ --------------------------------------------------------------------------------------------- ตอนที่ 3 เรื่องขี้อิจฉา (ควรอ่านตั้งแต่ตอนที่ 1) ผู้เขียนไม่ได้เขียนขอความเห็นใจหรือขอเงินจากใครผู้เขียนเขียนเพราะอยากเขียน ปัจจุบันทางบ้านให้เงินผู้เขียนซึ่งผู้เขียนก็พอใช้ในแต่ละเดือน ผู้เขียนไม่เดือดร้อนอะไรผู้เขียนไม่เคยดูเลยว่ามีคนโอนเงินหรือไม่เพราะถ้าไม่มีจะบันทอนจิตใจผู้เขียน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้เขียนคือเขียนไปเรื่อยๆเท่าที่อยากเขียน ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อผู้เขียนไม่สนใจ
จากเดิมตอนที่แล้วผู้เขียนบอกว่าเจอบุคคลที่อ้างว่าเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์และศาสนา ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเรื่อง "บังเอิญ" หรือเปล่าแต่หลังจากที่เขียนไม่กี่วันผู้เขียนดูช่อง7 รู้สึกเป็นจดหมายเหตุหรือเปล่าไม่แน่ใจเพราะเปิดมาก็เจอพอดีเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระอินทร์
ทำให้ผู้เขียนนึกขึ้นได้ว่ามีบุคคลที่อ้างว่าเป็นพระอินทร์ด้วย ท่านจึงเป็นบุคคลที่ 5 ในตอนแรกผู้เขียนคิดว่าช่างเถอะไม่เป็นไรไม่อยากเขียน เพราะเขียนไปกลัวผู้อ่านหาว่าผู้เขียนแกล้งสร้างเรื่องขึ้นมา แต่ "บังเอิญ" ที่ผู้เขียนซื้อหนังสือเรื่องศาสนาเปรียบเทียบมาอ่านและคนเขียนพูดถึงพระอินทร์ว่า "เทพเจ้าที่สำคัญที่สุดแห่งฤคเวทนั้นในบัดนี้ชาวฮินดูสามัญทั่วๆไปได้พากันลืมเสียแล้วเป็นส่วนมากเช่นพระอินทร์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามที่ยิ่งใหญ่ของชาวอารยัน กลายไปเป็นเพียงเทพเจ้าแห่งสายฝน ซึ่งมีผู้บูขาเพียงเล็กน้อย" จะบังเอิญหรือไม่ผู้เขียนไม่ทราบแต่ผู้เขียนตัดสินใจขอนำพระอินทร์เข้ามาด้วย(แต่ผู้เขียนจำไม่ค่อยได้ว่าท่านพูดอะไรกับผู้เขียนบ้าง แต่จำได้บางอย่างซึ่งต้องติดตามอ่านเรื่อยๆ)
คำถามถามว่าทำไมผู้เขียนจึงได้พบได้เจอบุคคลที่อ้างดังกล่าว? ผู้เขียนรู้เหตุผลเพราะจำได้ ผู้เขียนเป็นคนขี้สงสัยและผู้เขียนสงสัยบุคคลที่กล่าวมา แต่จะมีคนคอยตอบคำถามผู้เขียนเสมอต้องอ่านต่อไปว่าผู้เขียนสงสัยอะไรบ้าง
กลับมาช่วงผู้เขียนเรียนชั้นประถม ถ้าอ่านตอนที่ 1 จะเห็นได้ว่าผู้เขียนเจอคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าชายคนพวกนั้นแค้นผู้เขียนที่เด็กป.3อย่างผู้เขียนต่อปากต่อคำ ผู้เขียนเลยโดนให้เป็นเด็กขี้อิจฉา เด็กมีปัญหาและพยายามเลี้ยงตรงข้ามกับพวกลูกผู้นำ (ลูกผู้นำถูกเลี้ยงให้เป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็กเช่นเล่นแต่เกมประเทืองปัญญาเช่นหมากรุก อ่านแต่หนังสือ) ส่วนผู้เขียนดูทีวี เล่นเกม อ่านการ์ตูน
คนชั้นสูงชอบการเปรียบเทียบและเวลาเลี้ยงเด็กจะให้มีเด็กอีกคนคอยเคียงข้างลูกตัวเองเพื่อเปรียบเทียบ เช่นลูกตัวเองจะเก่งและดีหมดแต่จะฆ่าเด็กคนอื่นที่เลี้ยงมาให้ตายอย่างเลือดเย็นจะคอยทำลายเด็กคนอื่น เพื่อให้ลูกตัวเองดูดีกว่า ให้ลูกตัวเองรู้สึกดีตลอดเวลาว่ามีคนที่แย่กว่าเรา(บทวิเคราะห์จิตวิทยาผมเอง) พ่อแม่บางคนก็รู้แต่อยากขายลูกกินเลยยอมให้ลูกไปอยู่กับคนพวกนั้น
ผู้เขียนมาอยู่กับพ่อแม่เมื่อตอนเรียนม.1 แต่พ่อแม่ผู้เขียนไม่ได้ขายผู้เขียนหรอกเพราะผู้เขียนจำความได้ก็อยู่กับพี่สาวแม่แล้ว(ผู้เขียนเรียกอำแมะที่แปลว่าแม่) เด็กอย่างผู้เขียนเองก็เหมือนกันถูกเลี้ยงมาให้อย่างโง่เข้าไว้คือเล่นแต่เกม(อาตาริ แฟมิลี่ เริ่มมีประมาณป.3 - ป.4) ดูทีวีน้ำเน่า(จำความได้ก็มีแล้ว) อ่านการ์ตูนแต่สิ่งเหล่านั้นไม่มีเป็นของผู้เขียนเพราะผู้เขียนถูกเลี้ยงมาให้เป็นเด็กขี้อิจฉา ผู้เขียนถูกสอนมาอย่างผิดๆอย่างคนในบ้านผู้เขียนชอบพูดว่าบ้านเราไม่รวยพ่อขายของได้เงินเท่านี้ ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นผู้เขียนอยู่ป.4มั้ง เด็กคนอื่นเป็นอย่างไรผู้เขียนไม่ทราบแต่เด็กอย่างผู้เขียนนั่งคิดตัวเลขว่าเงินที่พ่อให้กับเงินที่พ่อขายของมันไม่พอกัน ผู้เขียนได้เงินเท่านี้ไปโรงเรียน(1 บาท วันไหนต้องซื้อข้าวเองจะได้ 10 บาท) ปรากฏว่าเงินที่ผู้เขียนได้มันเกินกว่าที่พ่อขายของได้ ทำให้เด็กอย่างผู้เขียนไม่เคยขออะไรกับพ่อแม่ (นิสัยไม่ขอของผู้เขียนติดมาจนถึงปัจจุบัน) แม้แต่เรียนพิเศษก็เลิกเรียนเพราะคิดเรื่องเงินกลัวพ่อไม่พอจ่าย (แต่จริงๆแล้วโตมาถึงรู้ว่าจุดประสงค์ที่คนในบ้านพูดแบบนั้นเพราะต้องการให้ผู้เขียนขยันเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมากอย่าคิดว่าเด็กไม่คิด เด็กไม่รู้เรื่องแต่จริงๆแล้วเด็กคิดครับ ที่ผู้เขียนเขียนเพราะอยากให้เป็นตัวอย่างว่าควรจะสอนให้เด็กรู้คุณค่าในสิ่งต่างๆมากกว่ากดดันเด็ก)
ส่วนเด็กอย่างผู้เขียนโดนพวกเจ้าชายมันเล่นสนุกที่อยากให้ผู้เขียนโง่และเป็นโจร จึงพยายามแทรกเข้ามาในครอบครัวผู้เขียนอย่างแยบยล(บางคนไม่ร้ายให้เห็นแต่ร้ายแบบร้ายเงียบ) เด็กอย่างผู้เขียนนอกจากในชีวิตมีของเล่นชิ้นเดียวในตอนเด็กแล้ว (ผู้เขียนจำได้โดนแกล้งเอาของเล่นไปทิ้งขยะ) ผู้เขียนยังโดนเปรียบเทียบกับหลานสาวอีกคนที่เรียนเก่งกว่าผู้เขียนและดีกว่าผู้เขียน
ผู้ใหญ่บางคนนอกจากจะยัดเยียดความสกปรกให้เด็กอย่างผู้เขียนแล้ว ยังยัดเยียดความสกปรกให้เด็กคนอื่นอีกแต่ผู้เขียนโชคดีเกมเหล่านั้นส่งผลให้ผู้เขียนมีจินตนาการและยังให้ผู้เขียนได้ฝึกสมองด้วยทำให้ผู้เขียนบวกตัวเลขเก่ง (เพราะเล่นเกมพวกเกมเศรษฐี เกมมหาสมบัติ เกมนักสืบ เกมโดมิโน) ผู้เขียนเลยอยากให้เด็กนักเรียนเวลาเรียนหนังสือน่าจะเล่นเกมพวกนี้บ้าง จะได้สังคมคือเล่นด้วยกันกับเพื่อนและได้บวกนับตัวเลข(เศรษฐศาสตร์) มันรู้สึกไม่น่าเบื่อ
นอกจากผู้เขียนถูกเลี้ยงตรงข้ามพวกลูกผู้นำ(ผู้นำไม่มีจินตาการแต่จะอยู่บนโลกแห่งความจริง)ให้มีจินตการแล้ว ผู้เขียนจะมีคนสอนสองครั้งเสมอ ผู้ที่สอนผู้เขียนเป็นใครไม่ทราบแต่ไม่เคยบังคับให้ผู้เขียนต้องเดินตาม แต่ชอบพูดว่าให้เด็กอย่างผู้เขียนคิดว่าแบบไหนจะดีกว่ากัน ชอบสอนให้ผู้เขียนรักครอบครัว พี่น้อง ญาติและสิ่งรอบข้าง ผู้เขียนแม้จะโดนผู้ใหญ่ยัดความสกปรกมาให้เด็กอย่างผู้เขียนหรือหลานผู้เขียน แต่ปัจจุบันผู้เขียนไม่โกรธ ไม่ริษยา หรือแม้แต่อิจฉาก็ไม่มี ผู้เขียนเป็นผู้มีปรารถนาดีให้ลูกหลานผู้เขียนได้ดีกว่าผู้เขียน ดำเนินชีวิตในสิ่งดีๆอย่าให้เจอสิ่งไม่ดีถ้าหากเจอสิ่งไม่ดีเหล่านั้นขอให้ผ่านพ้นมันไปได้ด้วยดี
ทำไมผมถึงกล้าสรุปเรื่องผู้นำถูกสอนไม่ให้มีจินตนาการเพราะผู้เขียนรู้ว่าพวกเขาถูกสอนให้มองแต่โลกความเป็นจริง
ตอนต่อไปยังอยู่ในช่วงที่ผู้เขียนเรียนในชั้นประถม ผู้เขียนลืมบอกไปว่าผู้เขียนเรียนที่โรงเรียนเยาวลักษณ์วิทยา ธนบุรี(ปัจจุบันกลับไปโรงเรียนยังตั้งอยู่) ผู้อ่านอย่าพึ่งเบื่อเพราะตอนต่อไปผู้เขียนจะเจอเจ้าชายสองคน
ตอนป.5 ผู้เขียนเจอเจ้าชายเกาหลี (ไม่รู้เหนือหรือใต้) ตอนป.6 ผู้เขียนเจอเจ้าชายมาเลเซีย (ไม่รู้เจ้าชายรัฐไหน)
บอกแล้วอย่าคิดว่าเด็กไม่รู้เรื่อง เด็กจำไม่ได้ เด็กอย่างผู้เขียนยังจำได้และยังอยู่ อยู่เพื่อจะเล่าเรื่องที่ได้พบเห็นรับรองผู้อ่านต้องอยากอ่านตอนต่อไปแน่
------------------------------------------------------------------- ตอนนี้ผมว่างงาน ผมทำงานหรือใช้ชีวิตทำงานแบบปกติไม่ได้เพราะธนาคารไทยพาณิชย์ ผมเลยคิดว่าอยากเขียนบทความ เรื่องสั้น นิยาย นิทาน หากผู้ใดอ่านแล้วชื่นชอบแล้วอยากซื้อ เหมือนเราซื้อหนังสือ แต่เปลี่ยนจากหนังสือเป็นเว็บแทนยินดีรับเงินจากผู้อ่านตามนี้ครับ หรือใครอยากอ่านเฉยๆไม่อยากให้เงิน ผมก็ยินดีเพราะของฟรีมีในโลกครับ ขอให้อ่านก็พอ
ขอยืนยันอีกครั้งว่านี้ไม่ใช่การบริจาคหรือขอเงินแต่เป็นการใช้สมองของผู้เขียนขายบทความทางเว็บเท่านั้น
แก้ไขเลขที่บัญชีใหม่ ธนาคาร ไทยธนาคาร สาขา ย่อยจักรวรรดิ เลขที่บัญชี 068-2-04705-4 ชื่อไทย นายนบณัฐพงศ์ สุริยาโรจน์ ชื่ออังกฤษ MR.NOBNUTPONG SURIYAROJ
ผมจะไม่ฆ่าตัวตายและชีวิตผมไม่ชอบแช่งใคร เพราะมีคนเคยสอนว่าไม่ดี แต่วันนี้ผมขอสาปแช่งว่า ผู้ใดที่กระทำให้ นายนบณัฐพงศ์ สุริยาโรจน์ เป็นผู้ที่ลำบากกายหรือลำบากใจอย่างปัจจุบันนี้ ในทางตรงหรือทางอ้อม หรือ เบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง โดยมีเจตนาหรือไม่มีเจตนาแต่รู้ตัวก็ตาม โดยไม่รับผิดชอบหรือวางเฉยและไม่บอกกล่าวให้นายนบณัฐพงศ์ สุริยาโรจน์ได้รับทราบตลอดไป ผมขอให้ผู้นั้นทั้งตระกูลพินาศและขอให้ธนาคารไทยพาณิชย์พินาศด้วยเช่นกัน
* ผมเปิดให้แสดงความคิดเห็นได้ครับ แต่อย่าลงรูปนะครับเพราะจะทำให้การดึงข้อมูลช้าได้
|
|